Archive for เมษายน 2008
“บัณฑิตปัญญาอ่อน”
Posted เมษายน 20, 2008
on:เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดให้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แก่บรรดาผู้สำเร็จการศึกษา ในระดับต่างๆ ผมเองในฐานะ ที่เป็นอาจารย์จุฬาฯ มาได้สิบปี และก็จบการศึกษา ระดับปริญญาตรี จากจุฬาฯด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมีโอกาส สังเกตการณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ มาโดยตลอดแน่นอนว่า การสำเร็จการศึกษาเป็นสิ่งที่ทุกคนมีความปีติยินดี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวผู้สำเร็จการศึกษา ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทั่วไป ดังนั้น ในวันงาน ผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีจึงมีจำนวนไม่น้อย ทำให้เกิดการคับคั่งแออัด ไม่ว่าจะเป็นฝูงคนและจำนวนรถราที่เพิ่มขึ้น
จากการประเมินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมพบว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับงานวันรับปริญญามากขึ้น จนดูเหมือนว่า มันเทศกาลพิเศษอะไรสักอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่การจบการศึกษาในสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งคนจบการศึกษาสูงมีน้อย และเป็นเรื่องยาก
งานรับปริญญาในปัจจุบันมีองค์ประกอบมากมาย เช่น การจ้างตากล้อง ซึ่งสมัยก่อนมีน้อยรายที่จะจ้างช่างถ่ายภาพอาชีพ นอกจากมีตากล้องแล้ว ยังมีตากล้องถ่ายวิดีโอด้วย การถ่ายภาพก็ไม่ได้ถ่ายเพียงม้วนเดียว แต่บางรายเป็นสิบม้วน ไม่เข้าใจว่า จะถ่ายอะไรกันนักกันหนา
นักศึกษาญี่ปุ่นที่อยู่ในความดูแลของผมสงสัยมาก ว่า คนไทยถ่ายอะไรกันมากขนาดนั้น และทำไมชอบถ่ายรูปตัวเองเดี่ยวๆ มากมาย !!
นอกจากการถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งแล้ว ต่อมาก็คือ ช่อดอกไม้และของที่ระลึก นับวันความบ้าคลั่งช่อดอกไม้ก็ยิ่งมากขึ้น ช่อยิ่งโต ดอกไม้ยิ่งแพง ดูจะทำให้ผู้รับได้หน้าได้ตา บางคนได้มากเสียจนไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหน ดูแล้ว ไม่ต่างกับศพบางศพที่ได้รับพวงหรีด
สมัยก่อน ยังไม่มีประเพณีให้ของที่ระลึกในวันรับปริญญา สมัยนี้ มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงข้างรั้วมหาวิทยาลัย ขายตุ๊กตาหมี หรือหมาตัวโตๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ทำไมจะต้องให้ตุ๊กตากันในวันรับปริญญาด้วย มันบ่งบอกอะไร ?
นักศึกษาญี่ปุ่นคนเดิมให้ความเห็นว่า มันเป็นเรื่องแปลกที่คนไทยยังให้ตุ๊กตากัน ทั้งๆ ที่ก็โตๆ กันแล้ว ผมเดาว่า สาวไทยชอบที่จะทำตัวให้ดู “น่ารักคิกขุอาโนเนะ” อยู่เสมอกระมัง ? ไม่ว่าจะแก่แรดแค่ไหน !
การที่มีพ่อค้าแม่ขายมาวางแผงขายตุ๊กตาข้างรั้วอยู่หลายเจ้านั้น มันยอมหมายความว่า เขาขายสินค้าของเขาได้ ซึ่งก็หมายความว่า มีคนซื้อ ผมสงสัยอย่างยิ่งว่า คนประเภทไหนที่มาซื้อ ? ญาติพี่น้อง เพื่อนของผู้รับปริญญาหรือ ? มาแสดงความยินดี แต่ไม่มีของติดไม้ติดมือ กลัวจะเสียหน้า จึงต้องซื้ออะไรสักอย่าง และบังเอิญมันก็มีคนมาวางขาย และมีอะไรให้เลือกนอกจากดอกไม้ จะให้อะไรที่มันเล็กๆ มองไม่เห็นชัด ก็คงจะไม่ทำให้ผู้รับได้หน้าได้ตาอะไรเท่าไรนัก ดังนั้น ดอกไม้หอบใหญ่และตุ๊กตาตัวโตๆ จึงช่วยให้การโพสท่าถ่ายรูปของเหล่าบัณฑิตดูมีสีสันน่าประทับใจไปตลอดชั่วชีวิต
ผมว่า ถ้ามีใครเอาแหวนเพชรมาให้สาวในวันรับปริญญา เจ้าหล่อนบางคนอาจจะไม่พอใจเท่าได้ดอกไม้ช่อโต หรือตุ๊กตาตัวยักษ์
นอกจากเครื่องเคียง หรือฉากประดับบารมี อันได้แก่ ถ่ายรูป ถ่ายหนัง ดอกไม้ และตุ๊กตาแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ตัวประกอบ อันได้แก่ เพื่อนๆ ไม่ว่าเพศเดียวกันหรือต่างเพศ อายุไม่เกี่ยง ยิ่งมีความหลากหลายของประเภทคนแล้วยิ่งดี หรือถ้ามีคนดังๆ มาร่วมก็ยิ่งได้หน้าสุดๆ แสดงให้เห็นว่า ผู้รับปริญญาเป็นคนที่มีคนรักคนชอบมากมาย จนทำให้คิดว่า ถ้าสมัคร ส.ส.เสียก็จะดี
ใครมีคนมาร่วมแสดงความยินดีไม่มาก หรือไม่มีเลยในวันรับปริญญา คงจะอาภัพที่สุด และอาจจะอาภัพตลอดไปก็ว่าได้ !
นอกจากมีเพื่อนๆ แล้ว ถ้าจะให้ดี ต้องมีแฟนนานุแฟนมากกว่าหนึ่งคน มาร่วมขบวนรถไฟ ในวันนั้นนอกจากจะรับปริญญาแล้ว เขาหรือเธอจะต้องทำหน้าที่เหมือนพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยที่จะต้องสับหลีกขบวนรถมิให้ชนกัน ยิ่งมีขบวนรถมากเที่ยวมาสายในวันนั้น และสามารถสับหลีกได้อย่างปลอดภัยสันติ ก็ถือว่า แน่มาก
ใครไม่มีขบวนรถไฟ หรือมีเพียงขบวนเดียว ถือว่ากระจอก แต่ถ้าขบวนเดียวนั้นเป็นขบวน “Orient Express ที่สุดยอดของความหรูหราฟู่ฟ่า ก็อีกเรื่องหนึ่ง
พูดถึงองค์ประกอบมาครบแล้ว เห็นทีถึงตาเจ้าตัวผู้เป็นบัณฑิต
ในวันนั้น บัณฑิตสาวจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่หรือตีห้า เพื่อไปเข้าร้านเสริมสวย ทำผม แต่งหน้า พอกหน้า ฯลฯ แต่ผลที่ออกมา ก็คือ ทุกคนดูเหมือนกันหมด ไม่ว่าคนที่สวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือไม่ก็ตาม เพราะมันออกมาเข้มๆ จัดๆ แดงๆ ดำๆ
ผมชื่นชมบัณฑิตสาวบางคนที่ไม่แต่งหน้ามาก แต่ก็มีน้อยเต็มที !
บางคนเข้าร้านเสริมสวยตั้งแต่ตีห้า ออกมาในราวเจ็ด หรือแปดโมงเช้า ข้าวไม่กล้ากิน ไม่กล้าขยับกล้ามเนื้อปากมากนัก กลัวอะไรๆ ที่แต่งพอกไว้ จะเสียรูป ผลสุดท้าย กลายเป็นแร้งเป็นลมไป อะไรที่หวังที่วาดไว้ เช่น ถ่ายรูปกับผู้คน ตามซุ้มประดับต่างๆ ก็พลันกลายเป็นแค่ความฝันที่ฝันไว้ในคืนก่อนหน้าจะแหกขี้ตาตื่นตีสี่ ฝันสลาย อนิจจา
บัณฑิตชายดีหน่อย ไม่ต้องเข้าร้านเสริมสวย แต่ก็อาจจะต้องสวมชุดรับปริญญาตื่นแต่เช้าไปรับแฟนแต่เช้ามืด เพื่อไปส่งที่ร้านเสริมสวย อาจจะต้องไม่ต้องถึงกับเช้ามากอย่างสาวที่จะต้องรับปริญญาเอง แต่ก็จะต้องสวยไม่น้อยหน้าคนอื่น
ตกเย็น ก็พากันไปกินเลี้ยงจนภัตตาคารร้านรวงมันแน่นขนัดไปทั่วบริเวณรอบๆ จุฬาฯ จนถึงบริเวณวงแหวนรอบนอก (จุฬาฯ) ด้วย บางทีเลี้ยงและรับเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืนก็มี
ใครทำให้งานรับปริญญาของตนยิ่งใหญ่ ยิ่งฟู่ฟ่าเท่าไร มันก็เป็นสิ่งยืนยันว่า กว่าจะจบปริญญาตรีได้ มันคงเป็นเรื่องที่แสนจะยากลำบากสาหัสสากรรจ์สำหรับเขาผู้นั้นเสียนี่กระไร !
น่าเห็นใจจริงๆ สำหรับบัณฑิตสติปัญญาไม่แข็งแรงเหล่านี้
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2545
” อ่านบทความนี้แล้ว มันก็เอ่อ นะ มันก็จริงอย่างที่ อาจารย์แกว่าล่ะ … อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ที่ฉีกบัตรเลือกตั้งในวันเลือกตั้งสมัยทักษิณลงเลือกตั้งครั้งนั้นนั่นเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าท่านทำไปเพื่ออะไร จากที่อ่านบทความนี้ เราชอบนะ ชอบความคิดในเรื่องนี้ แต่ที่ฉีกบัตร อันนี้ไม่เห็นด้วย (- -) … fayjaa “
หมาใจดำ
Posted เมษายน 20, 2008
on:- In: หมาใจดำ
- ให้ความเห็น
…
ด้วยเพื่อนบ้านเจ้าเรือน มีครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อที่ทำหน้าที่เป็น “สัปปะเหร่อ”ประจำตำบลและ มีแม่ “ขายลูกชิ้นทอด” ตามหน้าโรงเรียนวัด โดยครอบครัวนี้มีลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งสำเร็จการศึกษาเป็นบัณทิตวิทยาลัยมีชื่อเสียงในตัวจังหวัดมาสดๆร้อนๆ
Pen
23 มกราคม 2550
“หมาใจดำ” หรือ “เหล้าดอกไม้ หมาใจดำ”
เป็นเหล้าพื้นเมืองในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำมาจากดอกมะพร้าว ดีกรีความแรงถึง 40 ดีกรี สัณฐานใสไม่มีสี รสสัมผัสคล้ายเหล้าว้อดก้าแต่มีกลิ่นแรงกว่าเหล้าใสปรกติ ลักษณะเหล้า “หมาใจดำ” คล้ายเหล้า “หวาก” ในภาคใต้ เนื่องด้วยดีกรีความแรง ราคาถูก และสามารถทำเป็นเหล้าปั่นได้ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นในจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนี้
ขอบคุณ บล็อกเรือนปากกา บ้านแม่ริม
” บทความนี้ อ่านแล้วมัน โห บอกไม่ถูก สงสารพ่อแม่ของบัณฑิตคนนี้จริงๆ หวังว่าเค้าคงจะสำนึกได้แล้วนะ คงคิดว่ารับปริญญามันมีครั้งเดียวในชีวิต ต้องฉลอง แต่ลืมไปว่า มันก็มีครั้งเดียวสำหรับพ่อแม่ด้วยเช่นกัน อ่านแล้วก็เศร้าใจ…
ปีนี้เป็นปีรับปริญญาของเราเช่นกัน แต่เลือกที่จะไม่รับ ตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว เพื่อนๆ ก็งงใหญ่ ว่าทำไมไม่รับ ครั้งเดียวในชีวิตแท้ๆ อ่าว เราก็เถียงในใจ ว่า ทำไมล่ะ มันแปลกหรอ การรับปริญญา มันเป็นการไปพบปะเพื่อนฝูง ไปถ่ายรูปกับครอบครัว กับเพื่อนในชุดครุย ก็ใช่ที่ไม่ได้ใส่ชุดครุยกันได้บ่อยๆ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่ ส่วนพ่อแม่ เค้าภูมิใจในตัวเราตั้งแต่เราได้ทำงานนู่นแล้ว การไปรับปริญญาในตอนนี้ มันก็ไม่สำคัญอะไรมากมายแล้วหล่ะ และอีกอย่างที่ไม่รับก็เพราะไม่อยากเปลืองเงิน เอาเงินที่มีไปช่วยพ่อสร้างบ้านดีกว่าอีก วันสงกรานต์ก็ให้พ่อไปสี่พัน และซื้อพัดลมใหม่อีกพันสาม ไม่เสียใจเลยที่ไม่ได้รับปริญญา … fayjaa “
การอัพโหลดไฟล์ใหญ่ๆ ด้วยฟังก์ชั่น ftp ใน PHP
ขั้นตอน 1
สร้างฟอร์มอัพโหลดขึ้นมา ในตัวอย่างนี้จะอัพได้ที่ละหนึ่งไฟล์
code:
<?
<form name=”form1″ method=”post” action=”” enctype=”multipart/form-data”>
<input type=”file” name=”file”>
<input type=”submit” name=”Submit” value=”Upload now”>
</form>
?>
ตัวอย่างโค๊ดจะสั่งให้ action ภายในหน้าเดิม
เพิ่มโค๊ดที่ใช้อัพโหลด
<?
if($_POST[Submit]){
set_time_limit(3000);
//set up basic connection
$ftp_server = “fayjaa.com”;
$ftp_user_name = “fayjaa“;
$ftp_user_pass = “fayjaa”;
$destination_file = $_FILES[‘file’][‘name’];
$source_file = $_FILES[‘file’][‘tmp_name’];
$size_file=$_FILES[‘file’][‘size’];
$conn_id = ftp_connect($ftp_server);
// login with username and password
$login_result = ftp_login($conn_id, $ftp_user_name, $ftp_user_pass);
ftp_chdir($conn_id,”htdocs/upload/store_file”);
// check connection
echo “FTP connection has failed!”;
echo “Attempted to connect to $ftp_server for user $ftp_user_name”;
exit;
echo “Connected to $ftp_server, for user $ftp_user_name<br/>”; }
// upload the file
$upload = ftp_put($conn_id, $destination_file, $source_file, FTP_BINARY);
// check upload status
if (!$upload) {
echo “FTP upload has failed!”;
}
// close the FTP stream
ftp_close($conn_id);}//end $_POST[Submit]
ป้องกันแล้ว:” เบื่องาน ” เป็นเพราะสันดานของมนุษย์เรา หรือว่าบริษัทมันไม่ดีกันแน่นะ
Posted เมษายน 10, 2008
on:- In: เบื่องาน
- ใส่รหัสผ่านของคุณเพื่อดูความเห็น
ทำเว็บไซต์ ..ทำเว็บ เป็นคำตอบ เมื่อมีคำถามว่า “ทำงานอะไร” ก็มักจะตอบแบบนี้ แล้วก็จะได้หน้าตาอันงุนงง หน้าตาที่สงสัย ของผู้ถามเสมอ ตลกดี
Posted เมษายน 9, 2008
on:ทำเว็บไซต์ ..ทำเว็บ เป็นคำตอบ เมื่อมีคำถามว่า “ทำงานอะไร” ก็มักจะตอบแบบนี้ แล้วก็จะได้หน้าตาอันงุนงง หน้าตาที่สงสัย ของผู้ถามเสมอ ตลกดี
พูดถึงการทำเว็บมันก็มีหลายแขนงอีกล่ะ เช่นเว็บกราฟฟิค เว็บโปรแกรม เว็บมาสเตอร์ เว็บดีเวลลอปเปอร์ เยอะแยะมากมาย
เราจะเลือกทำอันใหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของใครของมัน จะเลือกทำเป็นทุกอย่างทั้งดีไซน์ ทั้งโปรแกรมเลยก็จะดี แต่โดยส่วนตัวนะ คิดว่าถ้าจะเลือกดีไซน์ก็ทำให้ดีไปเลย ไม่ต้องมานั่งศึกษาเรื่องโปรแกรม เพราะงานสองอย่างนี้มันใช้หัวคนละซีกคิด ไม่ง่ายที่จะทำได้ดีทั้งสองอย่าง ถ้าคิดว่าทำอย่างเดียวมันเสียเปรียบคนที่ทำได้หลายๆอย่าง อันนี้ก็ไม่รู้สิ เราคิดว่าถ้าทำให้เก่งด้านใดด้านหนึ่ง มันก็จะมีหนทางไปของมันเองแหละ เอาให้ดีซักด้าน
แต่ทุกวันนี้ ก็ยังเขวๆ อยู่ ว่าต้องการทำด้านใหนกันแน่ อืมมขัดแย้งกันเองอีกแล้ว..
ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้เราเลือกไม่ได้ เมื่องานมาให้ออกแบบเว็บ ก็ต้องมานั่งออกแบบ บางทีใช้เวลาแป๊ปเดียวก็เสร็จ แต่บางครั้งก็สองวัน ไม่ได้ดีไซน์มานานก็แบบนี้แหละ เมื่อดีไซน์เสร็จก็ต้องมานั่งเขียนโค๊ด เรื่องเขียนสคริปมันก็ทำได้แหละ ถ้าหากเป็นสคริปขั้นสูงก็ต้องหาที่ปรึกษา คนใน msn นั่นเอง ไม่ก็ถาม google เอา มักจะไม่มีเวลาพัฒนาสมองตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ความรู้เหมือนกับเท่าเดิม เพราะต้องเปลื่ยนร่างไปๆ มาๆ ระหว่าง web design และ webprogrammer แล้วยังมี webmaster .. อ่วย
เริ่มแรก เดิมที..กับการทำเว็บ
ตอน ปี 1
เข้าเรียนใหม่ๆ อาจารย์ให้ทำเว็บส่วนตัว เก็บผลงาน เอาไว้เสนออาจารย์ วิชาอะไรนั้นจำไม่ได้แล้ว ^,^ ตอนนั้นความรู้ทางด้านเว็บไซต์ไม่มีเลย จบม.ปลายเรียนมาแค่ word พิมพ์ดีด ก็ร.ร. บ้านนอกนะ จะเอาอะไรมากมาย แต่ตอนนั้นต้องทำเว็บไซต์ จึงต้องเกาะเพื่อนซะแล้ว เกาะในที่นี้ไม่ได้ให้เพื่อนมันทำให้นะ แต่หมายถึงแกไปใหน ชั้นไปด้วย แกใช้โปรแกรมใหนทำ ชั้นใช้อันนั้นด้วย จึงได้มาใช้ dreamwever เพื่อนช่วยสอน ตั้งใจมาก มันอัศจรรย์จริงๆ มีเว็บเป็นของตัวเองด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าไปทำเว็บที่ตึกของคณะอื่น ไปแย่งเค้าใช้ซะงั้น เพราะตึกนั้นเค้าเปิดให้ใช้จนถึงเช้า พวกเราก็นั่งทำกันถึงเช้าเลย วันรุ่งขึ้นต้องขี่มอเตอร์ไซต์ ไปรณรงค์…(อะไรซักอย่าง) อีก แต่มันก็ทำให้เริ่มชอบการทำเว็บไซต์ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะ ที่มีเพื่อนคอยช่วยสอน ทั้งที่มันก็ทำไม่ค่อยเป็น มั่วไปด้วยกัน สนุกไปอีกแบบ
ตอน ปี 3
เรียนวิชีอีคอมเมิร์ซ ได้ทำเว็บขายสินค้า shopping online มีระบบตะกร้าสินค้า ไม่ใช่แค่แคตตาล็อก ตอนนั้นก็มืดแปดด้านกันล่ะค่ะ เพราะอาจารย์ไม่เคยสอน PHP ,ASP ,JSP สอนแต่เรื่องฐานข้อมูล จึงต้องใช้วิธีก็อปปี้โค๊ดของรุ่นพี่มาแก้กัน วุ่นวายมาก แต่ในชั้นเรา ก็จะมีคนเก่งๆอยู่คนถึงสองคน ได้ช่วยกันสอน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ช่วงเวลานั้นไม่ได้ไปใหนเลย นั่งหน้าจอคอมพ์ตลอด แกะโค๊ดรุ่นพี่อยู่ บางครั้งก็นั่งจนเช้า เพราะพรุ่งนี้ต้องพรีเซนต์ แต่ดันไปเอ๋อ ก็อปไฟล์อันเก่ามา ปรากฏว่าไม่ได้คะแนน ไอ้ที่นั่งจนเช้า ไม่มีประโยชน์เลย – -” แต่ก็ทำให้เข้าใจ PHP ขึ้นมาเยอะเลย จากที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงใหน
ตอนปี 4
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา มันช่างโดดเดี่ยวอะไรเช่นนั้น เพราะเพื่อนบางคนก็รีบจบกันออกไปซะก่อน เหลือเพียงไม่กี่คน ที่ผิดพลาดในการลงวิชาเรียน อ่ะนะ จำได้เลยวิชาฐานข้อมูลนั่นเอง แต่กลุ่มเรามักจะยึดอุดมการณ์ที่ว่า “จะรีบจบไปทำไม ยิ่งอยู่นานๆ ความรู้ยิ่งแน่น ” อ่ะนะ จะเป็นอุดมการณ์หรือคำพูดที่ใช้ปลอบใจกันแน่ (-_-) ปีสุดท้ายนี้ก็จะต้องทำโปรเจค เราเลือกที่จะทำ webapplication เป็นเว็บจัดการระบบกองทุนหมู่บ้าน ระบบก็ค่อนข้างเยอะอยู่เหมือน ทำอยู่สองคน แต่คนลงโค๊ดก็มีแต่เราคนเดียว ส่วนอีกคน contact ด้านข้อมูล ทำอยู่ประมาณสามเดือน ในที่สุดก็เสร็จออกมาเป็นรูปเล่ม เป็นโปรเจคเต็มๆ แต่ตอนนี้ัหายไปแล้ว เสียดายจริงๆ แต่โค๊ดที่เขียน จะเขียนแบบง่ายๆ ตามประสบการณ์ของเรานั่นแหละ ง่ายจนไม่กล้าเอาไปให้ใครดู แต่ระบบก็ดีนะ ไม่ได้ขี้ๆ นะว้อยย
ความเห็นล่าสุด